“พี่ทำอะไรอะครับ”

ผมถามพี่โอเปอร์เรเตอร์คนหนึ่ง ที่กำลังเปิดวาล์วขนาด 2 นิ้วเพื่อ Equalized ความดันแก๊สทั้งสองฝั่งของ Main Valve ขนาด 20 นิ้วให้เท่ากัน โดยเปิดหรี่จากวาล์ว “ขาไก่” (Ball Valve ที่มีลักษณะมือจับเป็นก้านยาวๆ) ก็เลยสอบถามไปว่าทำไมถึงหรี่จากวาล์วขาไก่ เหตุผลที่ได้รับคือ วาล์วขาไก่เปิดง่ายกว่า..

ก็เลยคิดว่า สาเหตุที่พี่เขาทำแบบนั้น อาจจะเพราะเขาไม่ทราบว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องออกแบบแมนวลวาล์ว 2 ตัวมาอยู่ใน line เดียวกัน แถมเป็นวาล์วคนละแบบอีก วันนี้เลยขอมาแชร์ให้หายสงสัยกันหน่อย

ขอเริ่มจากคำถามว่า “เราติดแมนวลวาล์วไปทำไม?”

คำถามง่ายๆ ที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยนึก เออออ… เราติดแมนวลวาล์วไปทำไมวะ ก็ติดไว้เปิด-ปิด สิ ปั๊ดโธ่!

ใช่ครับ.. แต่ถ้าเรามานึกคำตอบดีๆ แมนวลวาล์วทุกชนิดบนโลกจะติดไว้เพื่อ 2 จุดประสงค์หลัก

1.เพื่อตัดแยกระบบ (Block)

2.เพื่อใช้หรี่ (Throttling/Bleed)

ซึ่งจุดประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การออกแบบวาล์วที่จะใช้แตกต่างกันด้วย วาล์วสำหรับตัดแยกส่วนใหญ่จะใช้วาล์วชนิด Ball Valve แต่วาล์วสำหรับหรี่ส่วนใหญ่จะใช้เป็น Plug Valve หรือ Globe Valve ซึ่งลักษณะของ Seat วาล์วแต่ละแบบก็จะแตกต่างกัน

ดังนั้นด้วยการออกแบบ Seat มาแตกต่างกัน โดยปกติสำหรับงานที่ความแตกต่างของความดันสูงๆ จึงไม่มีใครนำ Ball Valve มาใช้หรี่ เพราะแรงเฉือนจากความต่างของความดันแก๊สจะทำให้ Seat ของ Ball Valve เกิดความเสียหายได้ และผลลัพธ์ระยะยาวคือ Ball Valve ตัวนั้นจะปิดไม่อยู่ ซึ่งทำให้มันไม่สามารถทำงานได้ตามจุดประสงค์ และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ Ball Valve ขนาดใหญ่หลายยี่ห้อ มีระบบป้องกันให้ไม่สามารถเปิดวาล์วได้ หากความดันของ Upstream และ Downstream ของวาล์วแตกต่างกันเกินกว่ากว่าที่ผู้ผลิตกำหนด โดยสำหรับวาล์วตัวใหญ่ๆจะมีท่อเล็กคร่อมเอาไว้เพื่อ Equalized ความดันระหว่าง Upstream และ Downstream ของวาล์วก่อนที่จะสั่งเปิดวาล์วตัวใหญ่

ทำให้การออกแบบวาล์วในท่อเล็กสำหรับ Equalized มีวาล์ว 2 ตัว คือวาล์วสำหรับตัดแยก (Block) และวาล์วสำหรับหรี่เปิด (Bleed) เพื่อถนอม Seat ของวาล์วตัดแยกที่เป็น Ball Valve ให้ใช้งานไปได้นานๆนั่นเอง

แล้วการเปิดที่ถูกต้อง ต้องทำยังไง?

หลักการง่ายๆก็คือ “ดูทิศทางการไหลแล้วหรี่วาล์วตัวสุดท้ายที่อยู่ในท่อ

สมมุติสถานะของวาล์วเป็นแบบในรูปครับ เราต้องการเปิดวาล์วขนาด 20 นิ้ว แต่ความดันทางด้าน Upstream ของวาล์วยังสูงอยู่ และฝั่ง Downstream ทำการระบายความดันออกเพื่อการบำรุงรักษา เมื่อทำการบำรุงรักษาเสร็จแล้ว เราได้ทำการปิดวาล์วระบายแรงดันเพื่อจะคืนสถานะระบบ จากนั้นสถานะของวาล์วจะเป็นดังรูป

post2 pic1
สถานะของวาล์ว สีแดง = วาล์วปิด , สีเขียว = วาล์วเปิด

จากในรูปนี้ จะเปิดวาล์วหมายเลข 3 ทันทีเลยไม่ได้ Seat พังแน่ๆ หรืออาจจะกระแทกแรงจนอุปกรณ์เสียหาย ให้เราทำการเปิด Ball Valve หมายเลข 1 ก่อน ซึ่งจะสามารถเปิดได้ง่าย เนื่องจากความดันตกคร่อมวาล์วเกือบจะเท่ากัน

post2 pic2

แล้วทำการหรี่เปิดวาล์วหมายเลข 2 (ซึ่งเป็น Plug Valve หรือ Globe Valve) ค่อยๆเปิดให้ความดันด้าน Upstream ให้เท่ากับ Downstream จนสุดท้ายหรี่เปิดจนสุด 100%

post2 pic3 2
ขณะหรี่เปิดวาล์วหมายเลข 2 เพื่อให้แก๊สไหลจาก Upstream ไปยัง Downstream

เมื่อความดันทางด้าน Upstream และ Downstream เท่ากันแล้ว เราจึงจะสามารถเปิด Main Valve หมายเลข 3 ได้ แล้วค่อยปิดวาล์วหมายเลข 2 และหมายเลข 1 ตามลำดับ

post2 pic4
เมื่อความดันทางด้าน Upstream และ Downstream เท่ากันแล้ว จึงทำการเปิด Main Valve หมายเลข 3
post2 pic5
เมื่อเปิด Main Valve เสร็จแล้ว ทำการปิดวาล์วหมายเลข 2 แล้วปิดวาล์วหมายเลข 1 เป็นตัวสุดท้าย

และในกรณีที่เป็นท่อ Vent สำหรับระบายความดัน หากมีวาล์วสองตัวติดอยู่ด้วยกัน ก็จะยังคงใช้หลักการเดิม คือเปิดวาล์วตัวแรกก่อน แล้วไปหรี่ที่ตัวสุดท้าย

post2 pic6
เปิดวาล์วหมายเลข 1 ก่อน แล้วค่อยหรี่ระบายความดันที่วาล์วหมายเลข 2

ก็น่าจะเห็นภาพคร่าวๆกันแล้วนะครับ ด้วยหลักการนี้จะทำให้ Seat ของวาล์วที่ใช้ Block ใช้งานได้นานมากขึ้น และเวลาบำรุงรักษา ถ้าวาล์วปิดแล้วไม่รั่วก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น

“แล้วถ้าในท่อมีให้หรี่แค่ตัวเดียวล่ะ?”

ถ้ามีตัวเดียวก็คงต้องหรี่ตัวนั้นครับ ถ้าไม่มีทางเลือก

แล้วก็ทำบุญเยอะๆ….